ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

อเวย์ เกาะกูด จังหวัดตราด

   อเวย์ เกาะกูด
(Away Koh Kood)


เกาะกูดในจังหวัดตราดเป็นเกาะที่ยังคงความงดงามตามธรรมชาติไว้ได้เป็นอย่างมากซึ่งทำให้ที่นี่เป็นตัวอย่าง ที่เพอร์เฟ็กต์ของการไปเที่ยวเกาะสวย ๆ สักแห่งหนึ่ง ที่พักที่อเวย์เกาะกูดรีสอร์ทแห่งนี้มีทั้งแบบบังกาโลและแบบกระท่อมซึ่งตั้ง อยู่ริมชายหาด



สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแตกต่างควรลองพักในกระท่อมหรือเต็นท์ รีสอร์ทแห่งนี้ยังเป็นผู้ให้บริการกิจกรรมบนชายหาดและบริการอุปกรณ์ดำน้ำราย ใหญ่ที่สุดบนเกาะ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ไม่อยากนอนเล่นบนหาดเฉย ๆ ก็สามารถเลือกที่จะไปดำน้ำแบบสนอร์เกิ้ลหรือแบบสกูบ้า ตกปลา พายเรือแคนู พายเรือคายัก และไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ได้ตามใจปรารถนา ภัตตาคารชั้นเยี่ยมของทางรีสอร์ทมีเมนูอาหารนานาชาติ อาหารทะเลและอาหารฟิวชั่นแบบเอเชียให้เลือกอย่างจุใจ


อเวย์เกาะกูดเป็นรีสอร์ตที่อิงแอบอยู่กับธรรมชาติ ริมหาดคลองเจ้า เกาะกูด คือที่พักที่เราอยากให้คุณมาใช้เวลาพักผ่อนไป
กับการนอนฟังเสียงทะเล เล่นน้ำทะเลสีฟ้าใส สัมผัสกับเม็ดทรายอันละเอียดนุ่มและลมทะเลเย็นๆ
พร้อมกับกิจกรรมทางทะเล เช่น พายเรือคายัค และสระว่ายน้ำริมทะเล 
การตกแต่งภายในเรียบง่าย บ้านแต่ละหลังสามารถมองวิวทะเลที่เงียบสงบ โอบล้อมไปด้วยต้นไม้และทิว
มะพร้าว เพียงหนังสือสักเล่ม หรือคนรู้ใจสักคนก็เพียงพอที่คุณจะได้พักผ่อนกายใจแล้ว









  
ที่ตั้ง ที่ตั้ง : 43/8 หมู่ 2 บ้านคลองเจ้า เกาะกูด จ.ตราด
ราคา : 3,000-15,000 บา

ฮอริซั่น รีสอร์ท เกาะกูด จังหวัดตราด

 ฮอริซั่น รีสอร์ท เกาะ กูด
(Horizon Resort Koh Kood)




หากคุณเคยไปเกาะกูด หนึ่งในสามหาดสวยในเกาะกูดที่พลาดไม่ได้เลยคือง่ามโข่ เพราะชายหาดสวยทอดยาวมาก ทะเลหน้าอ่าวจะมีกองหินซึ่งเป็นแนวประการังน้ำตื้นที่สามารถดำน้ำดูได้


นอกจากจุดชมวิวที่ สวยงามแล้ว ด้านหลังยังเป็นที่ตั้งของ ฮอริซั่น รีสอร์ท ที่มีบ้านพักตากอากาศให้ได้พัก
ผ่อนตั้งแต่บ้านบนเนินเขาไล่ระดับจนถึงหน้าชายหาด มีระเบียงส่วนตัวให้ได้ชมวิวทะเลได้ตลอดทั้งวัน
หรือจะลุกเดินไปนั่งที่สะพานไม้หน้ารีสอร์ท ตกหมึก ตกปลาเพลินๆ ก็ยังไง
ฮอริซั่น รีสอร์ท เกาะ กูดเป็นสถานที่พักอันลงตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำกับสีสันของเกาะกูด (ตราด) ตัวเมืองอันน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ห่างออกไปเพียง โรงแรมแห่งนี้เป็นสถานที่พักสำหรับพักผ่อนและผ่อนคลาย อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวมากมายของเมือง เช่น เกาะกูด ซันเซ็ท, หาดคลองเจ้า, ง่ามโข่ ในระยะเดินถึง




การบริการที่ดีเลิศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือกว่าของ ฮอริซั่น รีสอร์ท เกาะ กูด ทำให้การเข้าพักที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจลืม ผู้เข้าพักสามารถใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ เช่น รูมเซอร์วิส, บริการรถรับ-ส่งถึงสนามบิน, บริการซักรีด, ห้องประชุม, ร้านอาหาร
ห้องพักของโรงแรมได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความสะดวกสบายในระดับสูงสุด พร้อมด้วย โทรทัศน์, โต๊ะเขียนหนังสือ, เครื่องปรับอากาศ, ฝักบัว, ระเบียง/ชานเรือน ในห้องพักแต่ละห้อง โรงแรมได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกทางนันทนาการไว้บริการ อย่างเช่น กีฬาทางน้ำ, บริการนวด, สวน ที่จะทำให้การเข้าพักของคุณน่าประทับใจไม่มีวันลืม ไม่ว่าคุณจะไป เกาะกูด (ตราด) ด้วยจุดประสงค์ใด ฮอริซั่น รีสอร์ท เกาะ กูด เป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการพักผ่อนอย่างมีความสุขและน่าตื่นตาตื่นใจ
     

  




ที่ตั้ง ที่ตั้ง : 65 หมู่ 2 อ่าวง่ามโข่ หาดคลองเจ้า เกาะกูด (ตราด)
ราคา : 2,000-2,700 บาท
 

กัปตันฮุกรีสอร์า เกาะกูด จังหวัดตราด

  กัปตันฮุก รีสอร์ท เกาะกูด
(Captain Hook Resort)

          เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ






เที่ยวทะเลจะให้ดีต้องเที่ยวแบบสบายๆ แต่ละวันไม่ต้องทำอะไรเน้นหนักที่การพักผ่อน ยิ่งถ้ามีเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้ว เอนหลังบนเก้าอี้ผ้าใบอ่านหนังสือใต้ร่มไม้รับลมทะเล แล้วพอแดดร่มลมตกก็ไปเล่นน้ำ
เดินเล่นบนชายหาด กินข้าว นั่งเล่นดูอะไรต่อมิอะไรริมหาดพอง่วงก็ไปนอนยังงี้แหละความสุขแท้ๆของหน้าร้อนและความสุขเหล่านั้นหาดได้จากที่นี่ กัปตันฮุก รีสอร์ท รีสอร์ทสวยๆ ที่จะนำพาทั้งความสุข ความสนุกมา
ให้คุณตลอดทริป

     

    การเดินทาง ถ้าไม่ได้เดินทางด้วยเรือเร็วที่สามารถไปส่งถึงรีสอร์ทได้ จะลำบากมาก เพราะต้องไปลงเรือที่ท่าเรือน้ำลึก นั่งรถอีกประมาณ 25 นาที มารอที่ท่าเรือเล็กเพื่อรอเรือที่รีสอร์ทมารับ (เนื่องจากรีสอร์ทไม่มีถนนเข้าถึง) รอประมาณ 20 นาทีแต่เหมือนนานมากเพราะอากาศร้อน ขากลับก้อเหมือนกันต้องรอเรือมาส่ง ต่อรถไปท่าเรือ การเช็คอิน มาถึงสามารถเช็คอินได้ทันทีแต่ไม่มี welcom drink หรือการแนะนำรายละเอียดอะไรเลยซักอย่าง ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างมากกับราคาที่พักที่แพงระดับนี้ ยังดีที่มีบริการยกกระเป๋าไปส่งที่ห้องพัก ห้องพัก ห้องที่พักเป็นห้อง mini pool villa ราคาสูงแต่คุณภาพไม่สมราคาเลย มีเตียงธรรมดา กะหมอนสองใบ อารมณ์ประมาณเดียวกะพักโรงแรมคืนละพันห้า ห้องกว้างพอสมควร มีแอร์หนึ่งตัว พัดลมหนึ่งตัว ที่มีพัดลมเพราะแอร์เปิด 5 PM - 9 AM เท่านั้น ห้องน้ำกว้างขวางดี มีrain shower แต่น้ำไหลไม่แรงเท่าไหร่ มินิพูลก้อขนาดเหมาะกะชื่อตั้งอยู่ริมผาวิวสวยดี ค่อนข้างเป็นส่วนตัว แต่บริเวณริมสระนี่ติดไฟน้อยมาก ไฟในสระก้อไม่ติด กลางคืนมืดมาก การบริการ ค่อนข้างไปทางแย่มาก พนักงานสนใจแต่เฉพาะลูกค้าที่มาเป็นแพคเกจ ลูกค้าที่จองมาเฉพาะห้องอย่างเรานี่ต้องจัดการเองหมด ไม่มีการแนะนำอะไรทั้งสิ้น อยากได้อะไรต้องดิ้นรนเอง แม้กระทั่งตามให้มาคลีนรูมต้องไปแจ้งที่ฟร้อน ผลที่ได้หลังจากเรากลับห้องคือ ทุกอย่างสภาพเดิม มีแค่ทรายบนพื้นห้องที่โดนกวาดไป เตียงไม่จัด ผ้าเช็ดตัวไม่เปลี่ยน ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นี่หรอโรงแรหรูของเกาะ อาหารและบาร์ รสชาติดี ราคาไม่แพง วิว ทัศนียภาพ โดยรวมบรรยากาศดี เงียบสงบ เหมาะกะการไปพักผ่อนจริงๆ เพราะไม่ค่อยมีกิจกรรมให้ทำ ยิ่งช่วงที่ไปฝนตก ดำน้ำไม่ได้ พายคายักไม่ได้ เล่นน้ำไม่ได้ ต้องอยู่แต่ในห้องที่ไม่มี wifi (wifi มีเฉพาะบริเวณล๊อบบี้ ซึ่งสัญญาณไม่เสถียร)




ที่ตั้ง 15-9 หมู่ 4 แหลมโป่งหลักอวน อ่าวคลองยายกี๋
เกาะกูด ตราด
ราคา : 4,700-18,000 บาท

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

พระที่นั่งวิมานเมฆและพิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง

พระที่นั่งวิมานเมฆและพิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง

พระที่นั่งวิมานเมฆและพิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งอนันตสมาคมพระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระราชวังที่ทำจากไม้สักทองทั้งหลังเดิมตั้งอยู่บนเกาะสีชัง สร้างขึ้นในสมัยราชกาลที่ 5 และได้ชะลอมาไว้ ณ สถานที่ตั้งปัจจุบันเมื่อปี พ.ศ.2444 ภายในมีห้องต่างๆ คๅ ห้องมีคองล้อมรอบ

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ถนนคนเดินเชียงใหม่

ถนนคนเดินเชียงใหม่

จัดตั้งแต่ปี 2006 ที่ถนนคนเดินเชียงใหม่เป็นเย็นวันอาทิตย์ถนนคนเดินที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ Courtyard เจริญรุ่งเรืองในตลาดตอนเย็นวันอาทิตย์นี้ครอบคลุมเกือบทั้งถนนราชดำเนิน (ถนนสายหลักของเมืองเก่า), จำนวนมากของถนนด้านข้างและสแควร์ด้านหน้าของประตูท่าแพ 

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

ดอยหลวงเชียงดาว จากอีกมุมมองหนึ่งที่น่าหลงใหล

ดอยหลวงเชียงดาว สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ สูงถึง 2,275 เมตร  จากระดับน้ำทะเล และที่มาของชื่อก็ได้มาจากความสูงใหญ่ ของดอย คำว่า”หลวง”ในภาษาเหนือ แปลว่า”ใหญ่” ส่วนคำว่า “เชียงดาว” นั้น  ก็เพี้ยนมาจากคำว่า”เพียงดาว” คิดดูสิครับ ภูเขาที่ชื่อมีความหมายแปลได้ว่า “ภูเขาที่ใหญ่โตที่สูงถึงดวงดาว” นั้น จะน่าไปเยือนขนาดไหน  และที่สำคัญ ต้อง “เดินท้าว” ขึ้นไปเท่านั้น

Bueng Kan : บึงกาฬ

Bueng Kan : บึงกาฬ




บึงกาฬ
ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณีแข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง
จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดใหม่ล่าสุดในประเทศไทย จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 เป็นต้นมา โดยแยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย ด้วยเหตุผลที่ระบุใน พรบ. จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ว่า

Ubon Ratchathani : อุบลราชธานี


Ubon Ratchathani : อุบลราชธานี
เทียนพรรษา
คำขวัญของจังหวัดอุบลราชธานี
อุบลราชธานี เป็นเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี เล่ากันว่า ท้าวคำผง ท้าวทิศพรหม และท้าวคำ บุตรพระวอ พระตา หลีกหนีภัยสงครามจากพระเจ้าสิริบุญสาร เจ้าแห่งนครเวียงจันทน์ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าตากสินมหาราช และต่อมาได้สร้างเมืองขึ้นที่บริเวณดงอู่ผึ้ง ใกล้กับแม่น้ำมูล ครั้น พ.ศ. 2323 พระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาราชสุภาวดี เชิญตราพระราชสีห์ มาพระราชทานนามเมืองว่า "อุบลราชธานี" ทรงให้ท้าวคำผงเป็นเจ้าเมืองคนแรก ซึ่งต่อมาได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระปทุมวงศา"
เมืองอุบลราชธานีมีเจ้าเมืองสืบกันมาถึง 4 คน ตราบจนถึงปี พ.ศ. 2425 จึงได้มีการแต่งตั้งข้าหลวง และผู้ว่าราชการจังหวัด มาปกครองดูแลจนถึงทุกวันนี้
อุบลราชธานีตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เป็นระยะทาง 629 กิโลเมตร สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูงและภูเขา มีแม่น้ำมูลไหลผ่านตอนกลางของพื้นที่ และมีหน้าผาหินทรายบริเวณชายฝั่งแม่น้ำโขง อันเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีพื้นที่ประมาณ 15,744 ตารางกิโลเมตร

Udon Thani : อุดร

Udon Thani : อุดร
ถ้วยชามบ้านเชียง

จังหวัดอุดรธานี
น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ อารยธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหมี่ขิด แดนเนรมิตหนองประจักษ์ เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรชันไฌน์
จังหวัดอุดรธานี เป็นจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการท่องเที่ยว ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของแหล่งอารยธรรมบ้านเชียง ซึ่งเป็นร่องรอยของอารยธรรมมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นอกจากนี้ อุดรธานียังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง มีการทำหัตถกรรมที่น่าสนใจต่างๆ เช่น ผ้าขิด ชุมชนพื้นบ้านมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีเสน่ห์ตามแบบฉบับชุมชนไทยอีสาน ในเมืองและตามสถานที่ต่างๆ มีโรงแรมที่พักมากมาย และการคมนาคมสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสนามบิน อุดรธานีจึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่นักเดินทางไม่ควรพลาดมาเยี่ยมเยือน

Amnatcharoen : อำนาจเจริญ



Amnatcharoen : อำนาจเจริญ
ลำห้วยปลาแดก         จังหวัดอำนาจเจริญ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีพื้นที่ประมาณ 3,161.248 ตารางกิโลเมตร เริ่มตั้งเป็นเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยขึ้นอยู่กับนครเขมราฐ ต่อมาจึงได้ย้ายมาขึ้นต่อเมืองอุบลราชธานี จนกระทั่งได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2536 อำนาจเจริญแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบแต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าชม ทั้งวัดวาอาราม ธรรมชาติที่สวยงาม และหัตถกรรมฝีมือชาวบ้านที่น่าซื้อเป็นของใช้ ของฝาก จังหวัดอำนาจเจริญประกอบด้วย 7 อำเภอ

Nong Bua Lam Phu : หนองบัวลำภู

Nong Bua Lam Phu : หนองบัวลำภู
หนองบัวลำภูก็มีไดโนเสาร์

จังหวัดหนองบัวลำภู
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อุทยานแห่งชาติภูเก้าภูพานคำ แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน
จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงระหว่างหุบเขา โอบล้อมด้วยเทือกเขาภูพาน จากเหนือจดใต้ และภูเก้าในทางทิศใต้ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มากมายด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ หนองบัวลำภูมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านธรรมชาติอันสวยงาม โบราณสถาน หรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดี และวัดวาอาราม
จังหวัดหนองบัวลำภู มีเนื้อที่ประมาณ 3,859.062 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 2,411,928.74 ไร่ ขนาดพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 2.27 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Nongkai : หนองคาย

Nongkai : หนองคาย
หนองคาย


จังหวัดหนองคาย
จังหวัดหนองคาย เป็นจังหวัดชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะเป็นประตูสู่เมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพไทย - ลาวแห่งแรก ที่เชื่อมโยงประเทศไทย - ลาวเข้าด้วยกัน ทำให้หนองคายในวันนี้ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญเมืองหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษาที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
และด้วยความที่เป็นเมืองสงบเงียบ เรียบง่าย เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งศาสนา วัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตพื้นบ้าน ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และมีเสน่ห์ ทั้งยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ หลากหลายไปด้วยอาหารการกิน และสินค้านานาชนิด มีโรงแรมที่พักมากมาย และการคมนาคมสะดวกสบาย เมืองริมโขงแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางไม่ควรพลาด มาเยี่ยมเยือน

Surin : สุรินทร์

Surin : สุรินทร์
surin
จังหวัดสุรินทร์
สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท
ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม
จังหวัดสุรินทร์ เป็นหนึ่งในจังหวัดชายแดนของภาคอีสานตอนล่าง หรือ "อีสานใต้" ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อารยธรรม และศิลปวัฒนธรรมของหลากหลายชนชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมขอมโบราณ ที่หล่อหลอมและผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทยถิ่นอีสาน จนมีความเป็นเอกลักษณ์ และโดดเด่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านการเลี้ยงช้าง จนได้ชื่อว่าเมือง "สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่"
นอกจากนี้ สุรินทร์ยังโดดเด่นในด้านการทอผ้าไหม มีทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ แหล่งน้ำ และพืชพรรณอันหลากหลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ส่งเสริมให้จังหวัดสุรินทร์เป็นเมืองที่น่าสนใจและน่า ท่องเที่ยวไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ

Sakol Nakhon : สกลนคร

Sakol Nakhon : สกลนคร
ตราจังหวัดสกลนคร

จังหวัดสกลนคร
พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระตำหนักภูพานคู่เมือง งามลือเลื่องหนองหาร
แลตระการปราสาทผึ้ง สวยสุดซึ้งสาวภูไท ถิ่นมั่นในพุทธธรรม
จังหวัดสกลนคร เป็นจังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองพุทธศาสน์ พระธาตุห้าแห่ง แหล่งอารยธรรมสามพันปี" เนื่องจากมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมที่ตกทอดกันรุ่นสู่รุ่นมาจากบรรพบุรุษตั้งแต่ สมัยโบราณ ที่หล่อหลอมและผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทยถิ่นอีสานจนมีความเป็นเอกลักษณ์และ โดดเด่น กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งศาสนาและอารยธรรมอันน่าสนใจ
สกลนคร ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ พืชพรรณ สัตว์ป่านานาชนิด และแหล่งน้ำขนาดใหญ่น้อยหลายแห่ง ที่ทำให้จังหวัดสกลนครเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ

Sisaket : ศรีสะเกษ

Sisaket : ศรีสะเกษ
ปราสาทโตนตวล ศรีสะเกษ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนล่างที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เคยเป็นชุมชนที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมานับพันปี นับตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ และมีชนเผ่าต่างๆ อพยพมาตั้งรกรากในบริเวณนี้ ได้แก่ พวกส่วย ลาว เขมร และเยอ
ศรีสะเกษเดิมเรียกกันว่า เมืองขุขันธ์ เมืองเก่าตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ตำบลดวนใหญ่ อำเภอวังหินในปัจจุบัน ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเมือง เมื่อ พ.ศ. 2302 สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีหลวงแก้วสุวรรณ ซึ่งได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาไกรภักดี เป็นเจ้าเมืองคนแรก ล่วงถึงรัชสมัยรัชการที่ 5   ได้ย้ายเมืองขุขันธ์มาอยู่ที่ บ้านเมืองเก่า ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน แต่ยังคงใช้ชื่อว่า เมืองขุขันธ์ ตราบจนถึง พ.ศ. 2481 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่นั้นมา

Loei : เลย

Loei : เลย


เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู
จังหวัดเลยเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนท่าม กลางสายหมอกปกคลุมเหนือยอดภู อุดมไปด้วยพืชพรรณป่าไม้นานาชนิดที่รู้จักกันดีคือ ภูกระดึง ภูหลวงและภูเรือ อากาศอันเย็นสบาย ภูมิประเทศที่งดงาม ประเพณีวัฒนธรรมอันแตกต่างไปจากถิ่นอื่นซึ่งได้แก่การละเล่นผีตาโขน ที่รอคอยนักเดินทางมาสัมผัสเมือแห่งขุนเขาดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้

แก่งคุดคู้ภูหลวงน้ำตกตาดเหือง
เลยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 520 กิโลเมตร มีพื้นที่ 11,424 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดชายแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในอดีตนั้นเป็นเพียงชุมชนเล็กๆของอาณาจักรที่มีความรุ่งเรืองควบคู่กับกรุง ศรีอยุธยาของไทย ภายหลังอาณาจักรล้านช้างเริ่มอ่อนแอลง จึงมาขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชุมชนนี้ได้รับการยกฐานะเป็นเมืองเลยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว จังหวัดเลยแบ่งการปกครองออกเป็น 14อำเภอ คือ อำเภอเมืองเลย วังสะพุง ปากชม เชียงคาน ท่าลี่ ภูเรือ ด่านซ้าย ภูกระดึง นาแห้ว นาด้วง ภูหลวง ผาขาว อำเภอเอราวัณ และอำเภอหนองหิน

Roi-ed : ร้อยเอ็ด

Roi-ed : ร้อยเอ็ด


สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมสาเกตุ บุญผะเหวดประเพณี
มหาเจดีย์ชัยมงคล งามหน้ายลบึงพลาญชัย เขตกว้างไกลทุ่งกุลา โลกลือชาข้าวหอมมะลิ
จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณซึ่งอยู่ตอนกลางของภาคอีสาน บริเวณลุ่มน้ำชี มีความเจริญรุ่งเรืองมากในยุคประวัติศาสตร์ และมีความหลากหลายในแง่ของศาสนา และวัฒนธรรม อันเนื่องจากดินแดนแห่งนี้ เคยตกอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรขอมโบราณ
นอกจากนี้ ร้อยเอ็ดยังเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิชั้นดี มีชื่อเสียงโด่งดัง จากอดีตถึงปัจจุบัน จังหวัดร้อยเอ็ดยังคงเป็นเมืองที่มีความน่าสนใจ ทั้งประเพณีและวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีผลิตผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียง เช่น ผ้าทอพื้นเมือง เครื่องจักสาน

Yasothon : ยโสธร

Yasothon : ยโสธร
              จังหวัดยโสธรจากพงศาวดารเมืองยโสธรได้บันทึกไว้ว่า เมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 2340 พระเจ้า  วรวงศา (พระวอ) เสนาบดีเก่าเมืองเวียงจันทน์ กับสมัครพรรคพวกเดินทางอพยพจะไปอาศัยอยู่กับเจ้านครจำปาศักดิ์ เมื่อเดินทางถึงดงผีสิงห์เห็นเป็นทำเลดี จึงได้ตั้งหลักฐานและสร้างเมืองที่นี่เรียกว่า "บ้านสิงห์ท่า" หรือ "เมืองสิงห์ท่า" ต่อมาใน พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าแห่งนี้ขึ้นเป็น "เมืองยโสธร" ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มีเจ้าเมืองดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรราชวงศา
ในปี พ.ศ. 2515 ได้ยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 ได้แยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และรวมกันเป็นจังหวัดยโสธร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 จังหวัดยโสธรมีเนื้อที่ประมาณ 4,161 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในเขตอีสานตอนล่าง จังหวัดยโสธรแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ


คลิกดูแผนที่ขนาดใหญ่  อาณาเขต
ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดอุบลราชธานี
ทิศใต้ ติดกับจังหวัดศรีสะเกษ
ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดนครพนม
           
  ระยะทางจากอำเภอเมืองไปยังอำเภอต่างๆ
อำเภอเมือง--   กิโลเมตร
อำเภอทรายมูล18   กิโลเมตร
อำเภอคำเขื่อนแก้ว23   กิโลเมตร
อำเภอป่าติ้ว28   กิโลเมตร
อำเภอกุดชุม37   กิโลเมตร
อำเภอมหาชนะชัย 41   กิโลเมตร
อำเภอไทยเจริญ50   กิโลเมตร
อำเภอเลิงนกทา69   กิโลเมตร
อำเภอค้อวัง 70   กิโลเมตร
gtประเพณีเทศกาลและแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ
  • งานประเพณีบุญบั้งไฟ
          มีขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ณ สวนสาธารณะพญาแถน โดยแต่เดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสดงออกถึงความสามัคคีของหมู่คณะ และมีความเชื่อว่าเมื่อจัดงานนี้แล้ว เทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะดลบันดาลให้มีฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
          บั้งไฟแต่ละอันที่มาเข้าขบวนแห่ จะถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามด้วยลวดลายไทยสีทอง เล่ากันว่าศิลปะการตกแต่งบั้งไฟนี้ นายช่างจะต้องสับและตัดลวดลายต่างๆ นี้ไว้เป็นเวลาแรมเดือน แล้วจึงนำมาทากาวติดกับลูกบั้งไฟ ส่วนหัวบั้งไฟนั้นจะทำเป็นรูปต่างๆ ส่วนมากนิยมทำเป็นรูปหัวพญานาคอ้าปากแลบลิ้นพ่นน้ำได้ บ้างก็ทำเป็นรูปอื่นๆ แต่ก็มีความหมายเข้ากับตำนานในการขอฝนทั้งสิ้น ตัวบั้งไฟนั้นจะนำมาตั้งบนฐาน ใช้รถหรือเกวียนเป็นพาหนะนำมาเดินแห่ตามประเพณี
          บั้งไฟที่จัดทำมีหลายชนิดคือ มีทั้งบั้งไฟกิโล บั้งไฟหมื่น และบั้งไฟแสน บั้งไฟกิโลนั้นหมายถึง น้ำหนักของดินประสิว 1 กิโลกรัม บั้งไฟหมื่นก็ใช้ดินประสิว 12 กิโลกรัม บั้งไฟแสนก็ใช้ดินประสิว 120 กิโลกรัม เมื่อตกลงกันว่าจะทำบั้งไฟขนาดไหนก็หาช่างมาทำ หรือที่มีฝีมือก็ทำกันเอง ช่างที่ทำบั้งไฟนั้นสำคัญมาก ช่างจะต้องเป็นผู้มีฝีมือในการคำนวณผสมดินประสิวกับถ่านไม้ เพราะถ้าไม่ถูกสูตรบั้งไฟก็จะแตก คือไม่ขึ้นสู่ท้องฟ้า สำหรับไม้ที่จะทำเป็นเสาบั้งไฟนั้น ต้องมีไม้ไผ่ที่มีลำปล้องตรงกันเสมอกัน จะตัดเอาแต่ที่โคนต้น เพราะมีความหนาและเหนียว ความยาวนั้นแล้วแต่จะตกลงกัน สำหรับขบวนเซิ้งบั้งไฟนั้นมีความยาวหลายกิโลเมตร
          ในวันรุ่งขึ้นเป็นการจุดบั้งไฟ จะมีการแบกบั้งไฟไปยังฐานยิงในที่โล่ง ถ้าบั้งไฟของใครจุดแล้วยิงไม่ขึ้น คนทำจะถูกจับโยนลงในโคลน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมา
  • งานประเพณีแห่มาลัย
          จัดในช่วงวันมาฆบูชา มีการนำข้าวตอก ดอกไม้ไปถวายเป็นพุทธบูชา จากความเชื่อในเรื่องว่า
    1. พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ มาเทศน์โปรดมารดาเหล่าเทวดาแสดงความยินดี โดยการโปรยข้าวตอกดอกไม้เป็พุทธบูชา
    2. ตามโบราณอีสานนิยม เมื่อมีการขนข้าวขึ้นเล้วเขาจะแยกข้าวบางส่วน ใส่กระสอบหรือกระเฌอเอาไว้สำหรับ ตำกิน กะให้พอดีกินถึงวันเปิดเล้าคือ เมื่อเอาข้าวขึ้นเล้าและสู่ขวัญข้าวเสร็จคนโบราณจะปิดเล้าข้าวไว้และจะเปิดเล้าข้าวอีกครั้งหนึ่งเพื่อนำข้าวมาตำกินในช่วงเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ หรือวันมงคลอื่นๆ ทั้งนี้แล้วแต่ท้องถิ่น สำหรับบ้านฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย ได้กำหนดเอาวันมาฆบูชา โดยจะทำการเปิดเล้าข้าวและร่วมทำบุญตักบาตรตลอดจนการให้ทานต่างๆและเพื่อเป็นพุทธบูชาและความเป็นสิริมงคล ในการจัดข้าวตอกดอกไม้ไปถวายเป็นพุทธบูชาได้มาปฏิบัติทุกปีติดต่อกันมามิได้ขาด ในตอนแรกการนำข้าวตอกดอกไม้เป็นบูชานั้นจะนำใส่พานแล้วโปรยเวลาพระเทศน์ ต่อมาได้นำข้าวตอกดอกไม้มาประดิษฐ์ตกแต่งให้สวยงาม ด้วยการร้อยเป็นพวงคล้ายพวงมาลัย จึงเรียกกันว่า "พวงมาลัย" และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเป็นพวงมาลัยข้าวตอกบ้าง บางทีก็ใช้ดอกไม้พลาสติกและลูกปัดร้อยเข้าไปด้วยเพื่อให้สวยงามขึ้น
          ในการทำพวงมาลัย จะรวมกันเป็นกลุ่มประมาณ 4-5 หลังคาเรือนหรือใครจะมีศรัทธาทำตนเฉพาะตนก็ได้ ในปัจจุบันการร้อยมาลัยเป็นสายจะมีความยาวประมาณ 4-6 เมตร ในการทำบุญพวงมาลัย จะมีการนำพวงมาลัยมาแห่รอบเมืองเป็นขบวนสวยงาม เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากท้องถิ่นส่วนอื่นๆ จากนั้นจะนำไปถวายวัดก่อนถึงวันมาฆบูชาหนึ่งวัน ทางวัดจะนำไปแขวนประดับประดาไว้บนศาลาการเปรียญเพื่อเป็นพุทธบูชา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลตำบลฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย โทร. 0 4579 9341,0 4579 9103
พระธาตุก่องข้าวน้อย พระธาตุก่องข้าวน้อย ตั้งอยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กม. ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร
พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23 - 25 ตรงกับ สมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง
พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุ มีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้ไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน ส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้าวน้อย มีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5x5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น
พระธาตุก่องข้าวน้อยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานแห่งอื่นๆ ที่มักเกี่ยวพันกับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของพระธาตุก่องข้าวน้อย กลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดาส่งข้าวสายเกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำมาตุฆาตด้วยสาเหตุเพียงว่า ข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดจึงได้สติคิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนกระทำมาตุฆาต
นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาชนะลายเขียนสีแบบบ้านเชียง ซึ่งกรมศิลปากรกำลังดำเนินการจัดตั้งอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ขึ้น
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ (มุมมองใหม่สิ่งศักดิ์สิทธิ์) โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ (มุมมองใหม่สิ่งศักดิ์สิทธิ์) เป็นโบสถ์ไม้ขนาดใหญ่มีเสาถึง 336 ต้น ใช้กระดานทำแป้นเกร็ดมุมหลังคา 80,000 แผ่น สามารถจุคริสตศาสนิกชนได้ร่วม 500 คน มิได้เพียงแต่ขนาดที่ใหญ่โตเท่านั้น โบสถ์นี้ยังได้ชื่อว่าเป็น โบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิก ที่ก่อสร้างด้วยไม้และมีหน้าจั่วประดับกระจกซึ่งใหญ่ทีสุดในภาคอีสาน โบสถ์นี้มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดอัครเทวดามิคาแอล" การเดินทาง จากยโสธรใช้ทางหลวงหมายเลข 2169 เลยอำเภอกุดชุมไปประมาณ 7-8 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกราว 600 เมตร ถึงบริเวณโรงเรียนซ่งแย้พิทยาและโบสถ์ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน
หมอนอิงสามเหลี่ยม บ้านศรีฐาน หมู่บ้านทำหมอนขิตบ้านศรีฐาน ห่างจากตัวเมืองยโสธร 20 กิโลเมตร ตามเส้นทางยโสธร-ป่าคิ้ว-อำนาจเจริญ (ทางหลวงหมายเลข 202) ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 18-19 แยกทางขวามือเข้าไปทางลูกรังอีก 3 กิโลเมตร หลังฤดูทำนาชาวบ้านที่นี่แทบทุกครัวเรือนมีอาชีพทอผ้า และทำหมอนขิต นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมและซื้อหมอนขิตไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งขณะนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ส่งเป็นสินค้าออกไปขายต่างประเทศ นับเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่นำรายได้เป็นอันดับสองรองจากการทำนา
กระติบข้าว บ้านทุ่งนางโอก ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 8 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 2169 (ยโสธร-กุดชุม) มีชื่อเสียงในการจักสานไม้ไผ่ เพื่อเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนและของที่ระลึก โดยเฉพาะกระติบข้าว ผู้ที่มีความสามารถในการสานกระติบข้าว เริ่มจากเด็กนักเรียนระดับอนุบาล เรื่อยไปถึงคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน